ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ วันขึ้นปีใหม่ หรือวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่มักวางแผนเดินทางไปทำบุญไหว้พระ 9 วัด เพื่อเสริมสร้างสิริมงคลแก่ตนเองตามสถานที่ต่างๆ ส่วนใครที่ไม่ได้วางแผนว่าจะไปทำบุญไหว้พระ 9 วัดที่ไหนดี วันนี้เราจะมาแนะนำเส้นทางไหว้พระ 9 วัดที่อยุธยาค่ะ ถ้าพร้อมแล้ว … เริ่มกันเลยยย
วัดใหญ่ชัยมงคลนับว่าเป็นวัดที่ทุกทริปของการทำบุญไหว้พระ 9 วัดที่อยุธยาไม่พลาดที่จะแวะมาเลยล่ะค่ะ ซึ่งวัดใหญ่ชัยมงคลตั้งอยู่บนพื้นที่ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่เดิมวัดใหญ่
ชัยมงคลนี้มีชื่อเดิมว่า “วัดป่าแก้ว” หรือ “วัดเจ้าไท” มีการสันนิษฐานว่าสมเด็จพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นในปี พ.ศ. 1900 ต่อมาวัดใหญ่ชัยมงคลใช้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าวันรัต พระสังฆราชฝ่ายวิปัสสนาธุระ และเมื่อถึงปี พ.ศ. 2135 ในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ได้มีการเสริมสร้าง “พระเจดีย์ชัยมงคล” ขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์และเฉลิมพระเกียรติยศที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงได้รับชัยชนะในการทำศึกสงครามยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหงสาวดี พร้อมทั้งพระราชทานนามวัดแห่งนี้ใหม่ว่า “วัดชัยมงคล” แต่ชาวบ้านมักนิยมเรียกว่า “วัดใหญ่ชัยมงคล” เนื่องจากมีเจดีย์ขนาดใหญ่และสูงที่สุดในอยุธยา และนอกจากวัดใหญ่ชัยมงคลจะมีเจดีย์ที่สูงเด่นเป็นสง่าแล้วยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ อีก เช่น วิหารพระพุทธไสยาสน์ ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธไสยาสน์ หรือพระนอนขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ใช้สำหรับเคารพบูชา, ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่มีผู้คนแวะเวียนกันไปไหว้สักการะอย่างต่อเนื่อง และพระพุทธชัยมงคล พระประธานของวัดที่ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ มีความเชื่อที่เล่ากันต่อๆ มาว่าหากใครไหว้พระพุทธชัยมงคลก็จะเป็นมงคลแก่ชีวิต มีเมตตามหานิยม หรือการให้อภัยทาน อีกทั้งยังทำให้สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เจริญก้าวหน้าในด้านหน้าที่การงาน และค้าขายเจริญรุ่งเรืองอีกด้วยค่ะ ส่วนใครที่ต้องการเช่าหรือซื้อพระขุนแผนห้อยติดตัวไว้ก็สามารถเช่าหรือซื้อได้ที่วัดแห่งนี้เช่นกันค่ะ เพราะพระขุนแผนที่วัดแห่งนี้
มีความศักดิ์สิทธิ์ หากห้อยพระขุนแผนหรือพกติดตัวไว้ก็จะทำให้เป็นคนที่มีเสน่ห์ มีแต่คนรักคนชอบ เดินทางปลอดภัย แคล้วคลาดจากภัยอันตรายค่ะ
เปิดบริการ: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น.
ค่าเข้าชม: เสียค่าเข้าชมเฉพาะชาวต่างชาติ 20 บาท
หากเดินทางมาไหว้พระที่วัดใหญ่ชัยมงคลแล้วก็อย่าลืมแวะมาไหว้พระที่วัดพนัญเชิงวรวิหารกันนะคะ เพราะวัดทั้งสองแห่งนี้ถือว่ามีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมมาไหว้พระกันอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งวัดพนัญเชิงวรวิหารถือเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำป่าสักทางทิศใต้ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 5 กิโลเมตร อีกทั้งยังเป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน สันนิษฐานว่าเมื่อปี พ.ศ. 1867 พระเจ้าสายน้ำผึ้งแห่งอโยธยาทรงสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นในบริเวณพระราชทานเพลิงศพพระนางสร้อยดอกหมากก่อนที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีถึง 26 ปี สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดนี้ ได้แก่ มี “พระพุทธไตรรัตนนายก” หรือ “หลวงพ่อโต” ชาวไทยเชื้อสายจีนมักเรียกกันว่า “หลวงพ่อซำปอกง” พระพุทธรูปองค์ประธานที่ประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหาร ถือได้ว่าหลวงพ่อโตนี้เป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกเลยก็ว่าได้ค่ะ อีกทั้งยังเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวจีนเป็นอย่างมาก หากใครได้มากราบไหว้หลวงพ่อโตก็จะทำให้กิจการค้าขายเจริญรุ่งเรือง เดินทางปลอดภัย รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง, “พระตำหนักเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก” หรือเป็นที่รู้จักกันดีว่า “ศาลเจ้าแม่จูแซเนี๊ย” เป็นอนุสรณ์แห่งความรักอันน่าเศร้าของพระเจ้าสายน้ำผึ้งแห่งอโยธยาที่มีต่อพระนางสร้อยดอกหมาก ซึ่งเป็นพระธิดาของพระเจ้ากรุงจีน มีลักษณะคล้ายศาลเจ้าจีนทั่วไป ภายในประดิษฐานรูปปั้นพระนางสร้อยดอกหมากมีขนาดเล็กเท่าตุ๊กตาของเล่นเด็กในชุดเครื่องแต่งกายแบบจีน นุ่งห่มผ้าแพรสีต่างๆ และมีสร้อยไข่มุกที่ผู้คนนำมาถวายจนไม่สามารถเห็นรูปปั้นได้ และพระพุทธรูปที่สำคัญ 3 องค์ที่ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ ได้แก่ พระพุทธรูปทองคำสมัยสุโขทัย, พระพุทธรูปปูนปั้นสมัยอยุธยา และพระพุทธรูปนาคสมัยสุโขทัยค่ะ
เปิดบริการ: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00 – 18.00 น.
วิหารพระมงคลบพิตรตั้งอยู่ติดกั
บพระราชวังโบราณและวัดพระศรีสรรเพชญ์ทางฝั่งทิศใต้ ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วิหารพระมงคลบพิตรถือว่าเป็นวัดที่นักท่องเที่ยวมักนิยมมากราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน สันนิษฐานกันว่าได้มีการสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ภายในวัดมี “พระมงคลบพิตร” พระประธานที่ประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหาร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้น หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์องค์เดียวในประเทศไทย และด้วยพระมงคลบพิตรนั้นเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่และอยู่คู่บ้านคู่เมืองของกรุงศรีอยุธยามาช้านาน ทำให้เป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนที่มากราบไหว้ เพราะเชื่อกันว่าหากได้มากราบไหว้ขอพรพระมงคลบพิตรก็จะเป็นการเสริมเมตตาบารมีและเสริมสร้างสิริมงคลในทุกด้านให้กับชีวิตค่ะ
เปิดบริการ: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น.
ค่าเข้าชม: ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 30 บาท ส่วนเด็ก นักเรียนหรือนักศึกษาในเครื่องแบบไม่เสียค่าเข้าชม
วัดกษัตราธิราชวรวิหาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งนอกเกาะเมืองทางด้านทิศตะวันตก ตรงข้ามกับวังหลังหรือวังสวนหลวง ซึ่งวัดกษัตราธิราชวรวิหารนับว่าเป็นวัดสำคัญอีกแห่งหนึ่งในพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากเป็นวัดโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร แต่เดิมมีชื่อว่า “วัดกษัตรา” หรือ “วัดกษัตราราม” ที่แปลว่า “วัดของพระมหากษัตริย์” หรือ “วัดของพระเจ้าแผ่นดิน” สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดแห่งนี้ ได้แก่ “พระพุทธกษัตราธิราช” พระประธานที่มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยตั้งอยู่บนแท่นสิงหาสน์และหน้าแท่นนั้นประดับด้วยผ้าทิพย์ปูนปั้นประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ, “พระวิหาร 4 หลัง” โดยด้านหน้าพระอุโบสถมีพระวิหารใหญ่ 2 หลัง และด้านหลังพระวิหารใหญ่มีพระวิหารเล็กอีก 2 หลัง ภายในพระวิหารจะมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง และประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ต่างๆ, “พระปรางค์ประธาน” ตั้งอยู่ด้านหลังของพระอุโบสถ ภายในพระปรางค์ประธานมีเจดีย์ปูนปั้นย่อมุมไม้สิบสอง และเจดีย์รายที่เป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นต้น หากได้มากราบไหว้พระทำบุญที่ก็จะทำให้มีเมตตามหานิยม อยู่ยงคงกระพัน และเสริมสร้างบารมีในด้านหน้าที่การงาน ส่งผลให้มีความเจริญก้าวหน้าในด้านหน้าที่การงานอีกด้วยค่ะ
เปิดบริการ: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น.
ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าเข้าชม
วัดท่าการ้องตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านทิศตะวันตกของเกาะเมือง ถือได้ว่าเป็นวัดไทยแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ท่ามกลางมัสยิด 5 แห่งในชุมชนของชาวมุสลิม ซึ่งวัดท่าการ้องเป็นวัดเก่าแก่ของอยุธยา สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2076 ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดแห่งนี้ก็คือ “พระพุทธรัตนมงคล” หรือ “หลวงพ่อยิ้ม” พระประธานที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองของอยุธยาและเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนที่กราบไหว้ ซึ่งมีลักษณะเป็นพระพุทธรูปในศิลปะอยุธยาตอนต้น มีพระพักตร์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและงดงาม, “หอระฆัง” เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนเป็นรูปแปดเหลี่ยม สร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช, “ศาลาการเปรียญ” ตั้งอยู่ด้านหลังของพระอุโบสถ เป็นอาคารเรือนไทยไม้สัก สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา, พระบรมสารีริกธาตุ เป็นต้น นอกจากนั้นสิ่งที่ทำให้วัดท่าการ้องมีความทันสมัยและแตกต่างจากวัดแห่งอื่นๆ จนเรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมความบันเทิงทางด้านศาสนาเลยทีเดียวค่ะ ไม่ว่าจะเป็น “ห้องน้ำติดแอร์” ที่เคยได้รับรางวัลสุดยอดส้วมแห่งปี 2549 ประเภทวัดและศาสนสถาน แถมยังมีส้วมปลดทุกข์สำหรับเพศที่สามไว้ใช้บริการต่างหาก, “ตลาดน้ำกรุงเก่า” ที่อยู่บริเวณด้านหลังวัดติดริมแม่น้ำ ขายอาหารหลากหลายชนิดในราคาไม่แพง ทั้งก๋วยเตี๋ยวเรือ ส้มตำสมุนไพร ข้าวเหนียวไก่ทอด ลูกชิ้นปิ้ง ไอศกรีม รวมไปถึงร้านขายเครื่องดื่มประเภทชาเย็นหรือกาแฟเย็นใส่ในกระบอกไม้ไผ่ที่นอกจากจะช่วยลดโลกร้อนแล้วยังดูแปลกตาอีกด้วยค่ะ โดยตลาดน้ำนี้จะเปิดขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์, “รูปปั้นตุ๊กตาดินเผา” ประดับอยู่โดยรอบวัด มีทั้งรูปปั้นพระที่สวมแว่นตาดำหรือแว่นสายตา และเครื่องทำบุญเสี่ยงทายแบบอัตโนมัติต่างๆ
เปิดบริการ: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 18.00 น.
ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าเข้าชม
วัดเชิงท่าตั้งอยู่ริมคลองคูเมืองหรือแม่น้ำลพบุรี ใกล้กับคูไม้ร้องที่เป็นอู่เก็บเรือพระที่นั่งในสมัยอยุธยา และห่างจากวัดหน้าพระเมรุเพียงแค่ 300 เมตรเท่านั้น ซึ่งวัดเชิงท่านี้เป็นวัดโบราณเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ไม่มีหลักฐานปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างขึ้นในปีใด มีเพียงแค่ตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาว่าเศรษฐีผู้หนึ่งได้สร้างเรือนหอให้แก่บุตรสาวที่หนีตามชายคนรักไปแล้วไม่ยอมกลับมา เมื่อเศรษฐีผู้เป็นบิดาเห็นว่าบุตรสาวไม่ยอมกลับมาเสียทีจึงถวายเรือนหอเรือนนั้นให้แก่ “วัดคอยท่า” ที่ตนสร้างขึ้น โดยหลวงจักรปาณีได้นำเรื่องเล่าดังกล่าวนี้มาประพันธ์ไว้ในนิราศทวารวดีค่ะ ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น “ศาลาการเปรียญ” สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นอาคารคอนกรีตยกพื้นสูง หลังคาทรงไทย ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีฝีมือประณีตงดงามมาก แม้ว่าภาพจะเลือนรางไปบ้างแล้ว และมี “สังเค็ด” หรือ “ธรรมาสน์” อาสนะ
สงฆ์แกะสลักไม้ไว้อย่างสวยงามที่เป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนกลางถึงตอนปลาย, “พระปรางค์ห้ายอด” ในสมัยอยุธยามีความพิเศษที่แตกต่างจากวัดอื่นตรงที่ก่อฐานของพระปรางค์เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและสร้างพระวิหารยื่นออกมาเป็นรูปกากบาทหรือไม้กางเขนจากพระปรางค์ทั้ง 4 ทิศแบบจัตุรมุข โดยเฉพาะพระปรางค์ทางด้านทิศใต้ที่แต่เดิมเป็นหน้าวัดก็เปลี่ยนมาสร้างเป็นพระวิหารขนาดใหญ่ให้เป็นมหาปราสาทยอดปรางค์ในช่วงอยุธยาตอนปลาย ส่วนภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งและยืน, “พระอุโบสถ” ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน ซึ่งหันหน้าไปทางทิศใต้ หรือแม่น้ำลพบุรีเดิม และ “ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน” ทางวัดเชิงท่าได้สร้างศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินขึ้นให้คนมาสักการบูชา เนื่องจากที่นี่เป็นสถานศึกษาที่พระองค์เคยทรงศึกษาวิชาภาษาไทย ขอม และพระไตรปิฎกเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ หากได้มากราบไหว้
เปิดบริการ: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.30 น.
ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าเข้าชม
วัดแม่นางปลื้มถือเป็นวัดที่เก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยาที่ตั้งอยู่บริเวณคลองเมือง ตรงข้ามกับตลาดหัวรอ สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ประมาณปี พ.ศ.1920 แต่เดิม ชาวบ้านเรียกวัดสามปลื้มว่า “วัดนางปลื้ม” หรือ “วัดสมปลื้ม” ซึ่งวัดแห่งนี้
ถือว่าเป็นวัดที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับความจงรักภักดีของแม่ปลื้ม หญิงชาวบ้านที่มีต่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยหลังจากที่แม่ปลื้มเสียชีวิตลง สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมีรับสั่งให้มีการจัดงานศพอย่างสมเกียรติ และมีการสร้างวัดแม่นางปลื้มอีกด้วย สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดแห่งนี้ก็คือ พระประธาน “พระพุทธนิมิตมงคลศรีรัตนไตร” หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ “หลวงพ่อขาว” ที่ประดิษฐานอยู่
ในพระวิหาร มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปสีขาวบริสุทธิ์ ศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้น ถือได้ว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่พุทธศาสนิกชนต่างเดินทางมากราบไหว้บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปองค์อื่นที่มีพุทธลักษณะเดียวกับพระพุทธรูปขาวและพระพุทธรูปโบราณประดิษฐานไว้ในพระวิหารนี้ด้วย, “เจดีย์ทรงระฆัง” เป็นเจดีย์ประธานของวัดที่เก่าแก่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ฐานของเจดีย์เป็นฐานบัวประดับด้วยบัวลูกฝัก มีประติมากรรมปูนปั้นรูปสิงห์ล้อมรอบฐานเจดีย์เช่นเดียวกับวัดธรรมิกราช ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะขอม-ลพบุรี หากได้มากราบไหว้ที่วัดแม่นางปลื้ม ก็จะทำให้เป็นคนมีเมตตามหานิยม มีแต่คนรักคนเอ็นดูค่ะ
เปิดบริการ: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.30 น.
ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าเข้าชม
วัดพระญาติการามเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา ตั้งอยู่ที่ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่เดิมวัดแห่งนี้มีชื่อว่า “วัดพบญาติ” เนื่องจากมีตำนานที่เล่าต่อๆ กันมาว่าในหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีหญิงสาวรูปงามผิวพรรณดี เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงรับทราบ พระองค์พร้อมด้วยข้าราชบริพารจึงเสด็จมายังหมู่บ้านแห่งนี้และขอรับอุปถัมภ์ค้ำชูหญิงสาวผู้นี้ พ่อแม่ของหญิงสาวจึงยินดียอมยกหญิงสาวผู้นั้นถวายให้แด่พระเจ้าแผ่นดิน ระหว่างที่หญิงสาวจะเดินทางเข้าพระราชวังนั้น บรรดาญาติของหญิงสาวก็ได้ไปดักรอพบหญิงสาวเพื่อล่ำลากัน หญิงสาวจึงได้พบญาติบริเวณนั้น หลังจากที่หญิงสาวผู้นั้นได้เป็นพระมเหสีแล้ว จึงได้เสด็จฯ มาเยี่ยมญาติในหมู่บ้านเดิมและโปรดฯ ให้สร้างวัดขึ้นบริเวณที่ญาติมาดักรอพบและตั้งชื่อว่า “วัดพบญาติ” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดพระญาติการาม” สิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิริมงคลที่น่าสนใจภายในวัดแห่งนี้ ก็คือ “พระพุทธจอมมุนีศรีอโยธยา” พระประธานที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปหินทรายแกะสลักปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก ปัจจุบันมีอายุมากว่า 500 ปีแล้ว นอกจากนั้นที่นี่ยังมีรูปปั้นหล่อของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอย่างหลวงพ่อกลั่น หลวงพ่ออั้น และหลวงพ่อเภา หากใครได้มากราบไหว้พระที่วัดพระญาติการามแล้วก็จะเป็นการบูชาพระรัตนตรัย และทำให้มีเมตตามหานิยมค่ะ
วัดกลางคลองสระบัวตั้งอยู่ที่ตำบลคลองสระบัว อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามประวัติของวัดกลางคลองสระบัวนี้ได้กล่าวไว้ว่า ในปี พ.ศ. 2309 กองทัพพม่าได้ทำลายกรุงศรีอยุธยาจนหมดสิ้น รวมไปถึงวัดวาอารามและบ้านเมืองต่างๆ เหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง ต่อมามีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาพำนักที่วัดกลางคลองสระบัวและเห็นว่ามีร่องรอยของซากเสมาวิหารเก่าและมีพระพุทธรูปปูนปั้นทั้ง 4 องค์ประดิษฐานอยู่ จึงได้ทำการบูรณะวัดแห่งนี้ขึ้นใหม่ วันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์น่าประหลาดก็คือ มีเสียงฟ้าร้องดังอยู่หลายครั้ง ทั้งที่ท้องฟ้ายังปลอดโปร่งแจ่มใส ซึ่งเสียงดังของฟ้าร้องนี้เองทำให้พระพุทธรูปปูนปั้นทั้ง 4 องค์ปริแตกออกมาพร้อมกัน และสามารถเห็นพระพุทธรูปทองคำสำริดอยู่ภายใน สร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมากค่ะ สิ่งที่น่าสนใจของวัดแห่งนี้ก็คือ “หลวงพ่อทันใจ” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อกันว่าหากได้กราบไหว้ขอพระหลวงพ่อทันใจแล้วล่ะก็จะทำให้สมหวังดังปรารถนาอย่างที่ตั้งใจไว้ทันทีค่ะ นอกจากนั้นแล้วยังมีพระประธานที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ ซึ่งหากมองดีๆ ก็จะพบว่าพระประธานยิ้มให้ด้วยนะคะ
หลังจากที่เราแนะนำเส้นทางไหว้พระ 9 วัดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยากันไปแล้ว หากยังไม่ได้วางแผนที่จะไปเที่ยวที่ไหนในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือช่วงวันหยุดยาวล่ะก็อย่าลืมชวนพ่อแม่และคนที่คุณรักไปไหว้พระ 9 วัดด้วยนะคะ เพราะนอกจากจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันในครอบครัวแล้วยังทำให้อิ่มบุญ อิ่มใจอีกด้วยค่ะ