เป็นวัดร้าง ตั้งอยู่ริมคลองประจาม
ตำบลสำเภาล่ม อำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยา
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หลักฐานทางโบราณคดีของวัดตะเว็ดที่เหลืออยู่ในปัจจุบันมีเพียงผนังอาคารด้านสกัด มีจั่วเป็นรูปสามเหลี่ยมและเหลือเพียงด้านเดียว พอจะสันนิษฐานได้ว่าเป็นอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ – ๑๖ และไทยรับเอาอิทธิพลของศิลปะนี้เข้ามาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ส่วนประวัติของวัดนี้ ตามพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระพนรัตน์วัดพระเชตุพน กล่าวว่า “ส่วนสมเด็จพระอัครมหาสีฝ่ายซ้ายฝ่ายขวา แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศ ซึ่งทรงพระนามว่า กรมหลวงโยธาทิพ กรมหลวงโยธาเทพนั้นก็ทูลลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน แล้วพาเอาพระราชบุตร ซึ่งทรงพระนามว่าตรัสน้อยนั้น ออกไปตั้งพระตำหนักอยู่ในที่ใกล้พระอารามวัดพุทไธสวรรย์”
พระตำหนักที่เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธทิพ และเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพไปสร้างนี้คงจะอยู่ไม่ไกลจากวัดพุทไธสวรรย์มากนัก และคงจะมีขนาดใหญ่โต เนื่องจากจะต้องมีข้าทาสบริวารติดตามไปรับใช้ด้วยเป็นจำนวนมาก แบบอย่างสถาปัตยกรรมที่ใช้สร้างคงจะเป็นแบบอย่างสถาปัตยกรรมที่นิยมกันในราชสำนักขณะนั้น คือ ศิลปะแบบเรเนซองส์ในยุคเจริญรุ่งเรืองของฝรั่งเศส ที่ตั้งพระตำหนักนี้ น. ณ ปากน้ำให้ข้อสังเกตว่า “การก่อสร้าง การปั้นปูน วิจิตรสพิสดาร อาจเป็นที่ประทับของเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพ เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพละกระมัง ท่านบวชชีอยู่วัดพุทไธสวรรย์ สำนักนางชีย่อมจะอยู่ไม่ให้ไกลวัด อีกประการหนึ่ง เหล่านางข้าหลวงและนางบริวารก็คงจะบวชตามเสด็จจนเป็นสำนักนางชีใหญ่โต สมัยนั้นคงจะรุ่งเรืองมาก ตัวท่านเป็นเจ้านายที่พระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์กลัวเกรงมาก…” และที่ตั้งวัดตะเว็ดนี้ดูเหมาะที่จะสันนิษฐานว่าเป็นพระตำหนักดังกล่าว ทั้งเรื่องระยะที่ตั้งซึ่งไม่ไกลไปจากวัดพุทไธสวรรย์มากนัก และความโอ่อ่าภูมิฐานคาดว่าเมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพ และเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพสิ้นพระชนม์ เหล่าข้าทาสบริวารคงจะแตกฉานซ่านเซ็นทิ้งให้พระตำหนักรกร้าง ติดต่อมาคงมีพระภิกษุเข้าไปครอบครองทำเป็นวัดในภายหลัง ส่วนชื่อวัด “ตะเว็ด” นั้นจะตั้งขึ้นสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐาน
จากการศึกษาหลักฐานทางโบราณคดีและหลักฐานจากประวัติศาสตร์ ทำให้สันนิษฐานได้ว่า วัดตะเว็ดคงจะสร้างขึ้นหลังรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปัจจุบันวัดตะเว็ดตั้งอยู่ในป่าละเมาะ มีหมู่บ้านชาวไทยอิสลามล้อมรอบ หากจะมีการขุดค้นเนินโบราณสถานบริเวณวัดตะเว็ดก็คงจะได้พบหลักฐานที่จะกำหนดอายุโบราณสถานได้ชัดเจนกว่านี้.
ขอบคุณข้อมูล : http://www.qrcode.finearts.go.th/