ตั้งอยู่ใน ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา
นอกเกาะเมืองทางด้านทิศตะวันออกของสถานีรถไฟพระนครศรีอยุธยา
มีลักษณะรูปแบบศิลปะคล้ายกับวัดหลวงในสมัยอยุธยาตอนต้นถึงอยุธยาตอนกลาง
ปรากฏร่องรอยฝีมือการสร้างอย่างงดงามตามอย่างศิลปะสมัยอยุธยา เจดีย์ใหญ่กลางวัด เป็นเจดีย์ทรงกลม ฐานกว้าง 30 เมตร
บางส่วนขององค์ระฆังหักโค่นลงมาจมดิน โผล่ให้เห็นบางส่วนมีความใหญ่โตขององค์เจดีย์
ตำหนักกำมะเลียน อาคาร 2 ชั้น
รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทางด้านทิศเหนือของวัดกุฎีดาว กว้าง 14.6 เมตร ยาว 30 เมตร ผนังชั้นบนชั้นล่างเจาะเป็นซุ้มโค้งรูปกลีบบัว
สันนิษฐานว่าเป็นที่ประทับขณะทรงงานบูรณะปฏิสังขรณ์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
ในขณะดำรงพระยศเป็นพระมหาอุปราช เมื่อ พ.ศ.2254
วิหารหลวง อยู่หน้าเจดีย์ใหญ่
หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ภายในมีเสาสองข้าง สองแถวเป็นเสากลม หัวเสาเป็นบัวกลุ่มแบบอยุธยา
หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีการเจาะหน้าต่างถี่ สะท้อนให้เห็นความสามารถในเชิงช่างที่มีการพัฒนามากขึ้น
เรื่องราวตำนานปู่โสมเฝ้าทรัพย์ของวัดกุฎีดาว เริ่มจากพระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช ได้รับสมุดข่อยโบราณจากพระสงฆ์รูปหนึ่ง มีลักษณะเป็นกระดาษข่อย เขียนอักษรไทยโบราณด้วยสี แต่ตัวอักษรได้ซีดจางเป็นสีขาวไปจนหมด อีกด้านหนึ่งเป็นผ้าเยื่อไม้มีอักขระไทยโบราณ เขียนด้วยหมึกสีดำ มีรอยวาดแสดงที่ตั้งโบสถ์ เจดีย์ของวัดกุฎีดาว แสดงตำแหน่งที่ฝังขุมทรัพย์ถึง 16 แห่ง
พระองค์และพระสหายชาวต่างประเทศได้นำเอาเครื่องไมน์ดีเทคเตอร์ เครื่องสำรวจหาวัตถุธาตุที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นมาสำรวจ
พบตำแหน่งฝังสมบัติล้ำค่าอยู่ใต้ดิน พระองค์จึงทำเรื่องเสนอต่อกรมศิลปากรขออนุมัติดำเนินการขุดค้นหาขุมทรัพย์ดังกล่าว
โดยทำสัญญาขอแบ่งทรัพย์ มอบให้เป็นสิทธิ์ของกรมศิลปากร 90% ส่วนอีก 10% เป็นของพระองค์ เมื่อกรมศิลปากรอนุมัติ
จึงเริ่มดำเนินการขุดบริเวณวัดกุฏีดาวเป็นแห่งแรกในปี พ.ศ.2503
เป็นเรื่องที่น่าตกใจ เมื่อทำการขุดลงไปตรงจุดที่ลายแทงระบุว่ามีสมบัติซ่อนอยู่กลับไม่พบสิ่งใดเลย ทั้งที่ก่อนลงมือขุดได้ใช้เครื่องไมน์ดีเทคเตอร์ตรวจ และเครื่องก็ส่งสัญญาณพบว่ามีของมีค่าฝังอยู่ แต่พอขุดลงไปกลับไม่พบสิ่งใด เรื่องประหลาดยังเกิดขึ้นกับพระองค์และพระสหาย
ชาวต่างประเทศอีก เมื่อได้พบเห็นวิญญาณมีลักษณะรูปร่างแขน ขาใหญ่แต่ไม่มีศีรษะมาปรากฏให้เห็นต่อหน้า นอกจากนี้ภายในวังของท่าน ยังมีเสียงคล้ายคนขุดดินตลอดเวลา พระองค์จึงไปพบกับพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทางไสย์เวทพุทธาคม ให้มาช่วยและได้ทราบความจริงว่าเป็น“ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” มีความโกรธเคืองผู้ที่มาลักลอบขุดสมบัติโดยไม่ได้ทำตามแบบแผน จึงได้สาปแช่งผู้ขุดสมบัติไม่ให้ทำมาค้าขึ้น
ซึ่งต่อมาปรากฏว่าพระสหายชาวต่างประเทศที่ร่วมขุดสมบัติได้เสียชีวิตกระทันหัน ส่วนพระสหายอีกคนก็หายสาบสูญโดยไม่ทราบชะตากรรม
ส่วนพระองค์ภายหลังได้หันมาดำเนินธุรกิจหลายอย่าง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
เรื่องราวการขุดสมบัติ บริเวณวัดกุฏีดาว จึงต้องล้มเลิกและไม่มีผู้ใดกล้ามาขุดสมบัติอีกเพราะเกรงว่าวิญญาณจะยังคงวนเวียนเฝ้าสมบัติ
และตามมาหลอกหลอนสาปแช่ง
ผ่านไปแถวอยุธยาฯ
ลองแวะมาชมความงามของโบราณสถาน และตำนานของปู่โสมเฝ้าทรัพย์กันได้ที่วัดกุฎีดาว
เปิดให้เข้าชมทุกวัน
ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น.
ไม่เสียค่าเข้าชม