เจดีย์รูปทรงนี้พัฒนาการมาจากสถูปศิลปะขอมที่พวกเราพบเห็นกันมากมายทั้งในพื้นที่ประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา ตามรูปภาพรูปถ่ายที่ปรากฏอยู่มากมาย
ความแตกต่างระหว่างเจดีย์ทรงปรางค์กับสถูปทรงปรางค์เป็นเรื่องสิ่งของที่บรรจุอยู่ในที่นั้น
ถ้าสิ่งของที่บรรจุอยู่ในที่นั้นเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ในศาสนาพุทธจะเรียกว่า พระเจดีย์ทรงปรางค์
หากสิ่งของที่บรรจุอยู่ในที่นั้นเป็นเรื่องของกษัตริย์ ของบุคคลต่างๆ ก็เรียกว่าสถูปทรงปรางค์ หรือเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า ปราสาท เช่น ปราสาทนครวัด ที่เชื่อกันว่าเก็บพระอัฐิของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ของเขมร เป็นต้น
ความแตกต่างที่น่าสังเกตอีกแนวทางหนึ่งก็คือ
เชื่อว่าพระปรางค์หรือเจดีย์ทรงปรางค์แบบไทยซึ่งมักมีคติทางพุทธศาสนาแฝงอยู่นั้น ส่วนใหญ่จะก่อสร้างด้วยอิฐ แต่ถ้าเป็นปรางค์ของขอมแล้วมักจะสร้างด้วยหินเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบ้างที่ก่อสร้างด้วยอิฐ ซึ่งมักจะมีอายุอยู่ในยุคตอนต้นๆ ของการสร้างปรางค์ของขอม
ในกรณีที่เป็นพระปรางค์หรือเจดีย์ทรงปรางค์แบบของไทย หรือคติทางพุทธศาสนาก็จะมีคติหรือสัญลักษณ์ในบางส่วนของเจดีย์ในทางพุทธมาน แต่ถ้าเป็นพระปรางค์แบบของขอมก็จะมีคติสัญลักษณ์ในทางพราหมณ์ และบางเจดีย์ทรงปรางค์ เช่น พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามฝั่งธนบุรี คติสัญลักษณ์ของทั้งสองศาสนาประสานกันอยู่
ตัวอย่างที่เรียกกันว่า ซุ้มจรนำในส่วนกลางของเจดีย์ที่เรียกกันว่าเรือนธาตุ หมายถึงโลก หรือเขาพระสุเมรุ อันเป็นศูนย์ กลางของจักรวาล นั่นจะปรากฏซุ้มสำหรับเทวดารักษาโลกที่เรียกกันว่า จาตุรชิกมหาราช เป็นต้น
หรือบริเวณตัวเรือนยอดของพระปรางค์ ถ้าเป็นทางพุทธศาสนาจะมีลำดับชั้นอยู่ 6 ชั้น ที่หมายถึงเทวโลก ทั้ง 6 ชั้น แต่ถ้าเป็นทางศาสนาพราหมณ์ เรือนยอดก็จะมี 7 ชั้น อันหมายถึงเขาสัตตะบริภัณฑ์ 7 แนวเขาที่ล้อมรอบเขาพระ สุเมรุเท่านั้น
ข้อสังเกตในปลายยอดสุดของพระปรางค์วัดอรุณฯ ก็คือ มีนภศูล อันหมายถึงศูนย์กลางของจักรวาลเป็นที่อยู่ของพระอิศวรนั้น เหนือขึ้นไปกลับปรากฏมงกุฎ อันเป็นเครื่องหมายของนิพพานอันแสดงถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
อย่างไรก็ตาม อดีตอธิบดีกรมศิลปากรท่านหนึ่งได้ให้คำแนะนำอย่างหนักแน่นว่า
“พระปรางค์นั้นจะสร้างได้ก็เพราะการอุทิศให้แก่พระมหากษัตริย์เท่านั้น”
คอลัมน์ คติ-สัญลักษณ์
ชวพงศ์ ชำนิประศาสน์